วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่13


วันอังคาร ที่ 3 เมษายน 2561


หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ (วันพุธ)
(ประโยชน์ของผลไม้)

วัตถุประสงค์
เพื่อให้เด็ก
    1.บอกประโยชน์ของผลไม้ได้
    2.สนทนากับครูและเพื่อนๆได้
    3.แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
    4.ฝึกทักษะกระบวนการคิด
สาระที่ควรเรียนรู้
ประโยชน์ของผลไม้
  1. เป็นอาหารให้กับคนและสัตว์
  2. มีวิตามิน ช่วยบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกายและมีใยอาหาร ช่วยในระบบขับถ่าย
  3.เราจะถนอมอาหารไว้กินนานด้วยวิธี การอบแห้ง ตาก
  4. สร้างอาชีพและสร้างรายได้ เช่น ขายผลไม้ ชาวสวน และนำไปแปรรูปเพื่อส่งออก
ประสบการณ์สำคัญ
  1.การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
  2.การแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด
  3.การมีโอกาสได้รับความรู้สึก ความสนใจ ความต้องการของตนเองและผู้อื่น
  4.การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
  1.ครูเล่านิทานให้เด็กฟัง เรื่อง ผลไม้ดีมีประโยชน์
ขั้นสอน
 2. ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับนิทานโดยใช้คำถาม ดังนี้
    -ในนิทานมีผลไม้อะไรบ้าง
    -เด็กๆรู้จักผลไม้ชนิดไหนอีกบ้าง
    -ในนิทานผลไม้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
    -นอกใจนิทานเด็กๆคิดว่าผลไม้มีประโยชน์อะไรบ้าง
    -ในนิทานมีการถนอมผลไม้อย่างไรบ้าง
    -นอกจากในนิทานเด็กๆมีวิธีถนอมผลไม้ด้วยวิธีใดบ้าง
3.ครูถามความรู้เดิมเด็กเกี่ยวกับประโยชน์และวิธีถนอมผลไม้
4.ครูเขียนลงมายแม็บ ประโยชน์ผลไม้และวิธีถนอมอาหาร
ขั้นสรุป
5.ครูและเด็กร่วมกันสรุปประโยชน์และวิธีถนอมผลไม้
ครูให้ตัวแทนเด็กออกมาจับคู่ประโยชน์ผลไม้

สื่อ
   1.นิทาน เรื่อง ผลไม้ดีมีประโยชน์
   2.มายแม็บประโยชน์ผลไม้
   3.มายแม็บวิธีถนอมอาหาร
การประเมิน
การสังเกต
   1.การบอกประโชน์ของผลไม้
   2.การสนทนากับครูและเพื่อนๆ
   3.การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
   4.การทักษะกระบวนการคิดในการตอบคำถาม

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ประโยชน์ของผลไม้และวิธีถนอมผลไม้ สามารถสอนคนละวันกันได้
  2. มีภาพมาติดด้วย ให้เด็กเห็น
  3. สอนน้อยๆ ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงได้
  4. ถามในนิทานให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นถามประสบการณ์เดิม
  5. รูปภาพไม่ควรวางกับพื้น ควรวางบนโต๊ะ
  6. ผลไม้ ควรมาอยู่ข้างหน้า ผลไม้ >>> ประโยชน์
  7. ทบทวนด้วยการจับคู่

หน่วย ตัวฉัน (วันพุธ)
(การดูแลรักษาร่างกาย)


ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. สอนทีละขั้นตอน
  2. เอารูปภาพมาติดก่อน จากนั้นทำให้เด็กดู
  3. เพลงต้องมีความสอดคล้องกับเนื้อหาของขั้นตอนการล้างมือ

หน่วย ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (วันพฤหัสบดี)
(หน้าที่ของอวัยวะ "หู")

วัตถุประสงค์
    1. เด็กสนทนาเรื่องการได้ยินร่วมกันได้
    2. เด็กเปรียบเทียบเสียงที่ได้ยินได้
    3. เด็กบอกแหล่งกำเนิดเสียงได้

สาระที่ควรเรียนรู้
      - แหล่งกำเนิดเสียง
      -  ธรรมชาติ
      -  มนุษย์สร้างขึ้น
ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
    1. การรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นในกิจวัตรประจำวัน
ด้านอารมณ์-จิตใจ
    2. การแสดงปฏิกริยาโต้ตอบเสียงดนตรี
ด้านสังคม
    3. การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
    4. การรู้จักสิ่งต่างๆด้วยการมอง ฟัง สัมผัส  ชิมรสและดมกลิ่น

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
   1.ครูและเด็กๆร่วมกันร้องเพลง “ ตาดูหูฟัง ”
                    เรามีตาไว้ดู เรามีหูไว้ฟัง
                    คุณครูท่านสอนท่านสั่ง
                    ต้องตั้งใจฟัง ต้องตั้งใจดู
   2.ครูและเด็กๆร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับการได้ยิน
ขั้นสอน
  3.ครูให้เด็กๆฟังเสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนี้ ฝนตก ฟ้าผ่า นกร้อง แล้วให้เด็กๆบอกว่าได้ยินเสียงอะไร จากนั้นบันทึกผล
  4.ครูให้เด็กๆฟังเสียงที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ ดังนี้ ร้องเพลง ดนตรี เสียงพูด แล้วให้เด็กๆบอกว่าได้ยินเสียงอะไร จากนั้นบันทึกผล
  5.ครูให้เด็กๆแยกเสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเกิดขึ้นจากมนุษย์
ขั้นสรุป
   6.ครูสนทนาร่วมกันกับเด็กเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดเสียงว่ามีอะไรบ้าง เสียงที่เรียนไปมีเสียงอะไรบ้างและนอกเหนือจากที่เรียนไปมีเสียงอะไรอีกบ้าง

สื่อ
   - ชาร์จเพลง
   - เสียงต่างๆ
   - ตารางบันทึกผล
   - ตารางแยกแหล่งกำเนิดเสียง
การประเมิน
การสังเกตจาก
  1. เด็กสามารถสนทนาเรื่องการได้ยินร่วมกันได้
  2. เด็กสามารถเปรียบเทียบเสียงที่ได้ยินได้
  3.  ด็กสามารถบอกแหล่งกำเนิดเสียงได้

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. วัตถุประสงค์ต้องสอดคล้องกัน
  2. สาระที่ควรเรียนรู้ ต้องเขียนอธิบายให้ชัดเจน
  3. ประสบการณ์สำคัญเขียนให้สอดคล้องกับเรื่อง
  4. เพลงที่เอามานั้น ต้องสอนเรื่องหู (สามารถแต่งขึ้นเองได้)
  5. หยิบภาพมาติด (ภาพควรมีตัวลวงด้วย)
  6. ควรเลือกแค่เกณฑ์เดียว คือ เสียงธรรมชาติ กับ ไม่ใช่เสียงธรรมชาติ
  7. ควรมีภาพให้เห็น

หน่วย ใต้ร่มเงาไม้ (วันพฤหัสบดี)
(ประโยชน์ของต้นไม้)

วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้เด็กร่วมสนทนากับครูได้
2.เพื่อให้เด็กบอกประโยชน์ของต้นไม้ได้อย่างน้อย 5 อย่าง
3. เด็กตอบคำถามได้
สาระที่ควรเรียนรู้
    - ต้นไม้มีประโยชน์หลายด้านทั้งต่อตนเอง ต่อโลก และในการสร้างอาชีพ ได้แก่ ไม้แปรรูป เป็นต้น
ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
- การประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ
ด้านอารมณ์และจิตใจ
- . การร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน
ด้านสังคม
- การเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
- การแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
1. ครูแจกจิ๊กซอว์รูปโต๊ะเก้าอี้ให้เด็กออกมาต่อให้สมบูรณ์ที่กระดานหน้าห้อง
2. ครูสนทนาเกี่ยวกับจิ๊กซอว์รูปโต๊ะเก้าอี้ “เด็กๆทราบไหมว่าโต๊ะเก้าอี้ทำมาจากอะไร” หลังจากนั้นครูก็ถามเด็กๆจากประสบการณ์เดิมว่าเด็กๆลอง มองรอบๆห้องเรียนสิว่ามีอะไรบ้างที่ทำมาจากต้นไม้นอกเหนือจากรูปภาพที่ครูเอามา                                       
ขั้นสอน
3. ครูบอกประโยชน์ของต้นไม้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ประโยชน์ต่อตนเอง  ประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์ในการสร้างอาชีพ 
4. ครูให้เด็กออกมาเลือกรูปภาพที่ครูเตรียมไว้แล้วให้เด็กๆช่วยกันดูว่ารูปภาพที่เด็กๆเลือกมาเป็นประโยชน์ในด้านไหนแล้วนำมาติดลงในตาราง                                                         
ขั้นสรุป
5. ครูและเด็กร่วมกันสรุปประโยชน์ของต้นไม้    “ครูถามเด็กๆว่าสรุปแล้วต้นไม้สามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง”                       

สื่อ
- จิ๊กซอว์รูปโต๊ะเก้าอี้
- แผ่นบันทึกประโยชน์ของต้นไม้
- แผ่นตารางบันทึก
- รูปภาพประโยชน์ของต้นไม้
การประเมิน
สังเกตจาก
1.การตอบคำถามการแลกเปลี่ยนความคิดของเด็ก
2.เด็กบอกประโยชน์ของต้นไม้ได้อย่างน้อย 5 อย่าง
3.การสนทนาถามเด็ก

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ควรมีรูปภาพมาให้เด็กเห็น
  2. เชิงพาณิชย์ คำยากไป เปลี่ยนเป็น "อาชีพ"
  3. ไม่ควรเอาภาพเดียวกัน
  4. ต้องมีจังหวะการสอน


หน่วย ตัวฉัน (วันพฤหัสบดี)
(การปฏิบัติตนให้มีพลานามัยที่ดี)

วัตถุประสงค์
   1.  เพื่อให้เด็กบอกการปฏิบัติตนให้มีพลานามัยดีได้
   2.  เพื่อให้เด็กร่วมสนทนากับครูได้
   3. เด็กร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน
สาระที่ควรเรียนรู้
      - การปฏิบัติตนให้มีพลานามัยที่ดี ได้แก่ การออกกำลังกาย, การกินอาหารที่มีประโยชน์, การพักผ่อน และการดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย
ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
    1. การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
ด้านอารมณ์ – จิตใจ
    2. การร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนาน
ด้านสังคม
    3. การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
    4. การใช้ภาษาในการตอบคำถาม
    5. การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
1. ครูร้องเพลง ให้เด็กๆ เอามือปิดตา จากนั้นครูแจกชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ให้เด็กตัวแทนออกมาต่อเป็นรูป
2. จากภาพที่สมบูรณ์ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับภาพการออกกำลังกายด้วยการถามคำถาม และตอบคำถาม
- ในภาพเด็กๆคิดว่าเขาทำอะไร
- แล้วเขาทำไปทำไม
ขั้นสอน
3. ครูสนทนาและแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้มีพลานามัยดี   โดยใช้คำถามดังนี้
- เด็กๆ คิดว่าการออกกำลังกายมีอะไรบ้าง
ขั้นสรุป
 4. เด็กและครูสนทนาร่วมกัน สรุปถึงวิธีการปฏิบัติตนให้มีพลานามัยที่ดี

สื่อ
1.จิ๊กซอว์ภาพการออกกำลังกาย
2.บัตรภาพกิจกรรมต่างๆ
3.Mindmap การปฏิบัติตนให้มีพลานามัยที่ดี
การประเมิน
การสังเกตจาก
1. การตอบคำถามขณะทำกิจกรรม
2. การแสดงออกขณะทำกิจกรรม

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. มีภาพใหญ่ก่อน ถามประสบการณ์เดิม
  2. ภาพในขั้นนำต้องเชื่อมโยงกับการสอน
  3. ควรมีการอธิบายภาพที่เด็กเลือกติด


หน่วย อาหารดีมีคุณค่า (วันพฤหัสบดี)
(ประโยชน์ของอาหาร)



วัตถุประสงค์
   1. เด็กบอกวัตถุดิบในการทำหมูสร่งได้
   2. เด็กบอกขั้นตอนการทำหมูสร่งได้
   3. เด็กบอกรสชาติของหมูสร่งได้
สาระที่ควรเรียนรู้
     - วัตถุดิบ ขั้นตอนในการทำและรสชาติหมูโสร่ง
ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
  - การปฏิบัติตนตามสุขอนามัย
 ด้านอารมณ์
  - การร้องเพลง
 ด้านสังคม
   - การเล่นและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
   - การรู้จักสิ่งต่างๆด้วยการมอง ฟัง สัมผัส ชิมรสและดมกลิ่น

กิจกรรมการเรียนรู้                                                             
ขั้นนำ
     - ครูและเด็ก ๆ ร่วมกันทำกิจกรรมเปิดภาพปริศนา
ขั้นสอน
    - ครูและเด็ก ๆ สนทนาเกี่ยวกับหมูโสร่ง เช่น
            “เด็กๆรู้จักหมูสร่งไหมคะ”
            “เด็กๆเคยรับประทานหมูสร่งไหมคะ” เป็นต้น
    - ครูและเด็กๆร่วมกันอ่านวัตถุดิบ อุปกรณ์และวิธีการทำหมูสร่ง
    - ครูสาธิตวิธีการทำหมูสร่ง
    - ครูให้เด็กแบ่งกลุ่ม 4 กลุ่ม  ครูขอตัวแทนออกมารับวัตถุดิบ อุปกรณ์
    - สมาชิกในกลุ่มร่วมมือกันทำหมูสร่ง
    - ครูขอตัวแทนของแต่ละกลุ่ม 1 คนออกมานำเสนอหมูสร่ง
ขั้นสรุป
    - ครูตั้งคำถามว่า “วัตถุดิบในการทำหมูสร่งมีอะไรบ้าง?” “หมูสร่งมีขั้นตอนในการทำอย่างไร?” “รสชาติเป็นอย่างไร?”

สื่อ
   - แผ่นชาร์ทวัตถุดิบและวัตถุดิบจริงในการทำหมูโสร่ง
   - แผ่นชาร์ทอุปกรณ์และอุปกรณ์จริงในการทำหมูโสร่ง
   - แผ่นชาร์ทขั้นตอนการทำหมูโสร่ง
การประเมินผล
สังเกตจากการทำกิจกรรมของเด็ก
   1. เด็กสามารถบอกวัตถุดิบในการทำหมูโสร่งได้
   2. เด็กสามารถบอกขั้นตอนการทำหมูโสร่งได้
   3. เด็กบอกรสชาติของหมูโสร่งได้

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ควรเตรียมของไว้ให้เด็กเรียบร้อย
  2. ควรบอกสัดส่วนของวัตถุดิบให้ชัดเจน ให้เด็กได้เรื่องของคณิตศาสตร์
  3. วิธีการจัดกลุ่ม ไม่ต้องเวียนฐาน มีอุปกรณ์ไว้ให้ครบทุกจุด
ทักษะ
  • ทักษะการฟัง
  • ทักษะการคิด
  • ทักษะการต่อยอดความรู้
  • ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
  • ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
  • ทักษะการสื่อสาร
  • ทักษะการนำเสนอข้อมูล
นำไปใช้  : สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ในการเขียนแผนการสอนต่อไป

ประเมินตนเอง: มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน
ประเมินเพื่อน: เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์: อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่12


วันจันทร์ ที่ 2 เมษายน 2561

หน่วยอาหารดีมีคุณค่า (วันพุธ)
กิจกรรมการเรียนรู้
 ขั้นนำ 
      1. ครูเล่านิทานเรื่องอาหารดีมีประโยชน์ แล้วสนทนาเนื้อหาในนิทาน
      2. ครูใช้คำถาม อาหารที่เด็กทานมามีอะไรบ้าง
 ขั้นสอน
      3. ครูนำภาพอาหารให้เด็กดู ถามว่าอาหารที่นำมาอยู่ในกลุ่มอะไร
      4. ครูถาม ถ้าเด็กๆ อยากแข็งแรง เด็กๆ ต้องเลือกทานอาหารอะไร (สัมพันธ์นิทาน)

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • นิทานควรมีฉากประกอบ และให้เด็กมีส่วนร่วมด้วย
  • ควรมีตัวละครมากกว่า 2 ตัว
  • ไม่ควรเอาแผ่นภาพไปติดบนกระดาษ ควรให้เด็กตื่นเต้นให้เด็กเห็นแค่แปปเดียว

หน่วยผีเสื้อ (วันพุธ)
(การดำรงชีวิตของผีเสื้อ)

กิจกรรมการเรียนรู้
  สงบเด็ก : ตบมือข้างซ้ายๆ ตบมือข้างขวาๆ เรามาเรียนกันมา ตบมือข้างซ้าย ตบมือข้างขวา 
ขั้นนำ 
       1. ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง Butterfly 
ขั้นสอน
       2. ครูสอนวงจรชีวิตของผีเสื้อ

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ควรถามเด็กจากเพลง
  • ครูพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับวงจรชีวิตของผีเสื้อ
  • ควรเขียนก่อนแล้วนำภาพผีเสื้อไปติด
  • ในเนื้อเพลงควรมีภาพให้เด็กเห็น
  • สนทนาในเนื้อเพลงก่อน

หน่วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 (วันพุธ)
(หน้าที่ของอวัยวะ ลิ้น)

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ 
      1. ครูใช้ปริศนาคำทาย อะไรเอ่ย? ตัวฉันเป็นใคร อยู่ในปากคน แลบเลียสับสน รสหวาน เปรี้ยว เค็ม
ขั้นสอน
      2. ครูอธิบายลิ้นมีหน้าที่รับรส
      3. ครูมีภาชนะ 2 รส มาให้เด็กชิม ได้แก่ รสเค็ม รสหวาน ให้เด็กๆ ออกมาชิม
      4. ครูอธิบายว่า ถ้าเรามองด้วยตาเปล่าเราจะรู้ไหมว่ารสชาติเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเราต้องชิม

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • มีตารางสำหรับนำเสนอข้อมูล
  • ใช้ 2 ถ้วย คือ รสเค็มกับรสหวาน
  • ให้เด็กมาติดในตารางว่าอันไหนรสเค็ม อันไหนรสหวาน

หน่วยบ้าน(วันพุธ)
(สมาชิกในบ้าน)

กิจกรรมการเรียนรู้
     สงบเด็ก : จิบจิบจิ้บ จิบจิบจิบจิ้บ กระพือปีกซ้าย กระพือปีกขวา กระพือปีกไปมา จิบกลับเข้ารัง
ขั้นนำ 
      1. ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง " พี่น้องกัน "
ขั้นสอน
      2. ครูสอนความสัมพันธ์ของสมาชิกในบ้าน
      3. ครูให้เด็กนำภาพสมาชิกมาติดในกราฟฟิก
ขั้นสรุป
      4. ที่บ้านเรามีใครกันบ้าง แล้วเราดูแลกันยังไง

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ตารางความสัมพันธ์สมาชิกในบ้านไม่ต้องทำซับซ้อนมากเกินไป
  • เวลาเขียนควรเขียนให้ชัดเจน
  • ให้เด็กเห็นชัดเจน จากลูก >>>> พ่อแม่
  • ควรเขียนตัดใหญ่ๆ
  • เริ่มต้นที่ "ตัวเรา"
  • วาดแผนผังให้ตรง

หน่วยใต้ร่มเงาไม้ (วันพุธ)
(การดูแลรักษาต้นไม้)

วัตถุประสงค์
    1. เด็กปฏิบัติตามคำสั่งของครูได้
    2. เด็กบอกขั้นตอนการปลูกต้นถั่วเขียวและวิธีการดูแลรักษาได้
    3. เด็กบอกการเปลี่ยนแปลงของต้นถั่วเขียวได้

สาระที่ควรเรียนรู้
ขั้นตอนการปลูกต้นถั่วเขียว
   1. วางกระดาษทิชชู่ไว้ในแก้ว แล้วพรมน้ำให้เปียก
   2. ใช้ช้อนตักเมล็ดถั่วเขียว 4-5 ช้อน แล้วโรยลงในแก้ว
   3. นำกระดาษทิชชู่มาวางทับเมล็ดถั่วเขียวที่ แล้วพรมน้ำให้เปียก
วิธีการดูแลต้นถั่วเขียว
  รดน้ำทุกวันวันละ 3-4 เวลา หรือนำไปไว้ในที่ที่มีแสงแดดเพื่อให้ต้นถั่วเขียวเจริญเติบโต

ประสบการณ์สำคัญ
ด้านร่างกาย
  - การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
  - การปฏิบัติตนตามสุขอนามัย
ด้านอารมณ์ – จิตใจ
  - การแสดงออกอย่างสนุกสนานในการกิจกรรม
ด้านสังคม
  - การเล่นและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ด้านสติปัญญา
  - การแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด
  - การอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ ของสิ่งต่างๆ
  - การทดลองสิ่งต่างๆ

กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
1. ครูและเด็กร้องเพลง “ดูแลรักษาต้นไม้”
       ต้นไม้จะใหญ่งอกงาม
       เราพยายามบำรุงรักษา
       รดน้ำ พรวนดิน ถอนหญ้า
       ใส่ปุ๋ย และฆ่าแมลง ด้วยเอย
2. ครูถามเด็กว่าในเพลงนี้มีวิธีการดูแลต้นไม้อย่างไรบ้าง แล้วนอกเหนือจากในเพลงนี้มีวิธีการดูแลรักษาต้นไม้อย่างไรอีกบ้าง แล้วบันทึกลงแบบบันทึกการดูแลต้นไม้
ขั้นสอน
3. ครูแนะนำอุปกรณ์และสนทนาถามว่า เด็กๆรู้จักอุปกรณ์อะไรบ้าง แล้วเด็กๆ คิดว่าจะเอามาทำอะไร
4. ครูสาธิตขั้นตอนในการปลูกต้นถั่วเขียว และมีตัวอย่างให้ดู โดย ครูจะปลูกต้นถั่วเขียวไว้ 2 กระถาง
   - กระถางที่ 1 ครูเอากระป๋องครอบไว้
   - กระถางที่ 2 ครูจะไม่รดน้ำ แต่ได้รับแสงแดด
5. ครูแบ่งกลุ่มให้เด็ก กลุ่มละเท่าๆกัน แล้วให้เด็กลงมือปฏิบัติการปลูกต้นถั่วเขียว
6. ให้เด็กสังเกตการเปลี่ยนแปลงของต้นถั่วงอก และบันทึกการเปลี่ยนแปลง
ขั้นสรุป
7. ครูและเด็กร่วมกันสรุปกิจกรรม ขั้นตอนการปลูกต้นถั่วเขียวและวิธีการดูแลรักษา

สื่อ
      - แผ่นชาร์ทเพลง “ดูแลรักษาต้นไม้”
      - แผ่นชาร์ทอุปกรณ์ในการปลูกต้นถั่วเขียว และขั้นตอนการปลูกต้นถั่วเขียว
      - แผ่นชาร์ทแบบบันทึกการเปลี่ยนแปลงของต้นถั่วเขียว
      - แผ่นชาร์ทบันทึกการดูแลต้นไม้
      - เมล็ดถั่วเขียว
      - ช้อนพลาสติกเล็ก
      - แก้วพลาสติก
      - กระดาษทิชชู่
      - น้ำ

การประเมิน
สังเกตจาก
 1. การลงมือปฏิบัติตามคำสั่งของครู
 2. การตอบคำถามและการแสดงความคิดเห็น

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ในเนื้อเพลงควรตัดคำว่า "ฆ่า" ออก เปลี่ยนเป็น กำจัดแมลง (ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก กำจัดแมลงเอย)
  • ขั้นตอนในการปลูก ควรมีลูกศรในแต่ละขั้น
ทักษะ
  • ทักษะการฟัง
  • ทักษะการคิด
  • ทักษะการต่อยอดความรู้
  • ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
  • ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
  • ทักษะการสื่อสาร
  • ทักษะการนำเสนอข้อมูล
นำไปใช้ : สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ในการเขียนแผนการสอนต่อไป

ประเมินตนเอง: มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน
ประเมินเพื่อน: เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์: อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่11


วันจันทร์ ที่ 16 มีนาคม 2561

หน่วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 (วันอังคาร)

กิจกรรมการเรียนรู้ 
  • เริ่มต้นเข้าสู่กิจกรรมด้วยเพลงสัมผัสทั้ง 5 ให้เด็กๆ ร้องเพลงไปพร้อมๆ กัน เข้าสู่ขั้นสอนด้วยกิจกรรมการดมกลิ่น ครูมีกล่อง 2 กล่องที่ 1 ใส่กลินหอมไว้ส่งให้เด็กๆดม กล่องที่ 2 ใส่กลิ่นเหม็น แล้วส่งให้เด็กๆ ดม จากนั้นครูแจกรูปจมูกให้เด็กๆ 2 รูป ให้เด็กๆ วิเคราะห์แล้วนำรูปออกมาติดในตารางที่ครูเตรียมไว้
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ครูควรให้เด็กแสดงความคิดเห็น เช่น เด็กๆ คิดว่าในกล่องใบที่ 1 เป็นกลิ่นอะไร และใบที่ 2 เป็นกลิ่นอะไร (ความหลากหลายของเด็กต่างกัน)
  2. วิธีการดมกลิ่นนั้น ควรเอามือพัดให้มีลม ไม่ควรสูดดมเข้าไปเพราะบางกลิ่นอาจจะก่อให้เกิดอันตราย
  3. เด็กได้ใช้จมูกในการดมกลิ่น  เด็กใช้จมูกในการแยกแยะของกลิ่น
  4. เพลงสัมผัสทั้ง 5 ควรไปใช้ในวันจันทร์ เพื่อมองเห็นภาพรวมของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ว่ามีอะไรบ้าง
  5. วันแรกควรรู้จักประสาทสัมผัสทั้ง 5 ว่ามีอะไรบ้างก่อน พอวันต่อมา ค่อยเอามาทีละชิ้น
  6. ครูควรให้เด็กส่งต่อหรือหยิบหน้าห้องด้วยตนเอง ไม่ควรแจกเด็กทีละคน

หน่วยอาหารดีมีคุณค่า (วันอังคาร)

กิจกรรมการเรียนรู้ 
  • เริ่มต้นด้วยการสงบเด็ก " ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง แล้วเอามือกอดอก "
  • เข้าสู่กิจกรรมด้วยคำคล้องจอง สนทนาเนื้อหาในคำคล้องจอง ขั้นสอน  ครูนำของที่ใส่ในตระกร้าออกมาให้เด็กสังเกตและให้เด็กทายว่าสิ่งที่ครูนำมาคืออะไร คือ กล่องที่ 1 เป็นมะเขือเทศสด กล่องที่ 2 เป็นมะเขือเทศที่เน่าแล้ว ครูให้เด็กๆ วิเคราะห์ลักษณะ ได้แก่ สี กลิ่น ผิว รูปทรง ส่วนประกอบ
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ไม่ควรนำมะเขือเทศมาใช้ในหน่วยอาหาร ควรจะนำไปใช้ในหน่วยผักหรือผลไม้มากกว่า
  2. การสอนเรื่องอาหารต้องมีถุงเล็กๆ ใส่อาหารให้เด็กเห็น
  3. ต้องมีตัวเลขกำกับ
  4. นำอาหาร 2 อย่าง มาวิเคราะห์ ได้แก่ อาหารที่ควรรับประทานและอาหารที่ไม่ควรรับประทาน
  5. ควรแยกประเภท อาหารคาวและอาหารหวาน

หน่วยผีเสื้อแสนงาม (วันอังคาร)
สาระ
  • ผีเสื้อมี 2 ชนิด แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ผีเสื้อกลางวันและผีเสื้อกลางคืน มีลักษณะที่เหมือนและแตกต่างกัน ได้แก่ สี รูปทรง ส่วนประกอบ ขนาด
กิจกรรมการเรียนรู้ 
  • เริ่มต้นด้วยการสงบเด็ก 2 เพลง เข้าสู่กิจกรรมด้วยการนำภาพผีเสื้อ มาให้เด็กสังเกต 2 ภาพ ภาพที่ 1 คือ ผีเสื้อหนอนใบรัก ภาพที่ 2 คือ ผีเสื้อลายเสือ ให้เด็กวิเคราะห์ลักษณะผีเสื้อ ได้แก่ สีและรูปทรง วิเคราะห์รูปที่ 1 ก่อน
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ครูควรร้องเพลงแค่เพลงเดียว
  2. รูปภาพควรมีขนาดใหญ่ ต้องเลือกที่มองเห็นชัดๆ
  3. ส่วนประกอบของผีเสื้อต้องมีในตารางวิเคราะห์ข้อมูล
  4. การใช้สัญลักษณ์กำกับเรื่องสี ไม่ควรใช้รูปทรง เช่น สามเหลี่ยมกำกับ ควรใช้การฝนสี 
  5. ควรหารูปที่เห็นส่วนประกอบของผีเสื้อที่ชัดเจน
  6. การเขียนแวนไดอาแกรมต้องเขียนสิ่งที่เหมือนกันก่อนทุกอย่าง
  7. ควรมีการเปรียบเทียบขนาดของผีเสื้อ
  8. ควรเขียนให้เป็นระบบ มีการวางแผนก่อนล่วงหน้า
  9. ข้างล่างของแวนไดอาแกรม ต้องมีการเขียนสรุป
  10. ควรมีเลขกำกับ เช่น ตา = 2 หนวด = 2 ปาก = 1 ขา = 6 (เป็นคลังคำศัพท์ของเด็ก)


หน่วยบ้านแสนสุข (วันอังคาร)

กิจกรรมการเรียนรู้
  • เริ่มต้นด้วยการสงบเด็ก " กำมือซ้าย กำมือขวา ชูมือมา วางตรงนี้แหละ "
  • เข้าสู่กิจกรรมด้วยนิทานลูกหมู 3 ตัว ครูนำรูปภาพบ้านมาให้เด็กสังเกต 3 ภาพ ได้แก่ บ้านฟาง บ้านไม้ และบ้านปูน มาใส่ในตาราง แล้วให้เด็กวิเคราะห์ลักษณะของบ้าน ได้แก่ วัสดุที่ใช้สร้าง รูปทรง ส่วนประกอบ หลังจากวิเคราะห์แล้วนำมาเปรียบเทียบความเหมือนความต่างในแวนไดอะแกรม
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  1. ส่วนประกอบของบ้าน ควรนำไปไว้ข้างหลังสุดของตารางวิเคราะห์ข้อมูล
  2. ควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการติดภาพ 
  3. ควรเพิ่มเวลาในการสร้างบ้างลงไปในตารางวิเคราะห์ข้อมูล

ทักษะ
  • ทักษะการฟัง
  • ทักษะการคิด
  • ทักษะการต่อยอดความรู้
  • ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
  • ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
  • ทักษะการสื่อสาร
  • ทักษะการนำเสนอข้อมูล
นำไปใช้ : สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ในการเขียนแผนการสอนต่อไป

ประเมินตนเอง: มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน
ประเมินเพื่อน: เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม

ประเมินอาจารย์: อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่10


วันจันทร์ ที่ 19 มีนาคม 2561

หน่วยใต้ร่มเงาไม้ (วันอังคาร)

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • ส่วนประกอบควรไว้หลังสุด
  • ควรวาดรูปประกอบหลังคำ เช่น รูปทรงสามเหลี่ยม  ทรงกรวย
  • เวลาเอารูปมาต้องให้เห็นชัดเจน 
  • เวลาสอนไม่ควรเพิ่มเติมจากที่เรานำมาสอน
  • ควรเอาของจริงมา เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากของจริง
หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • การเรียกลักษณะรูปทรงของผลไม้ เช่น ทรงรี
  • เวลาเขียนจะต้องเขียนอย่างเป็นระบบ
  • ก่อนเริ่มกิจกรรมควรมีผ้าคลุมมาคลุมผลไม้ เพื่อให้เด็กๆ ทาย
  • เวลาสอนควรให้สอดคล้องกับวันจันทร์ 
 หน่วยตัวฉัน

ข้อเสนอแนะจากอาจารย์
  • เวลาสอนห้ามเอาเด็กออกมาหน้าชั้นเรียนเด็ดขาด เพราะจะทำให้เด็กบางคนเกิดปมด้อยในตัวเอง
  • เลือกเพลงให้สอดคล้องกับการสอน
  • ควรมีรูปกำกับ ผู้ชาย ผู้หญิง เพื่อเปรียบเทียบ
  • เวลาเขียนแผนต้องเขียนขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสรุป
  • ควรมีตารางวิเคราะห์ข้อมูล
การนำไปใช้

  • สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ในการเขียนแผนการสอนและเตรียมการสอนได้อย่างถูกหลักถูกวิธีการ ต่อไป

ประเมินตนเอง: มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน
ประเมินเพื่อน: เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์: อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่9


วันจันทร์ ที่ 12 มีนาคม 2561

หน่วยอาหารดีมีคุณค่า
(เคลื่อนไหวตามข้อตกลง)


หน่วยใต้ร่มเงาไม้
(เคลื่อนไหวตามมุม)


หน่วยตัวฉัน
(เคลื่อนไหวตามมุม)


หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ
(เคลื่อนไหวประกอบเพลง)


หน่วยประสาทสัมผัสทั้ง5
(เคลื่อนไหวตามมุม)


หน่วยผีเสื้อ
(เคลื่อนไหวตามข้อตกลง)


หน่วยบ้านแสนรัก
(เคลื่อนไหวตามมุม)

ทักษะ
  • ทักษะการฟัง
  • ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล
  • ทักษะการสรุปความรู้จากข้อมูล
  • ทักษะการต่อยอดความรู้
  • ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
  • ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน

การนำไปใช้
  • สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากคำแนะนำของอาจารย์ไปใช้ในการเขียนแผนการสอนต่อไป

ประเมินตนเอง: มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน 
ประเมินเพื่อน: เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์: อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่8


วันจันทร์ ที่ 9 มีนาคม 2561

สาระที่ควรเรียนรู้
        สาระในส่วนนี้กำหนดเฉพาะหัวข้อไม่มีรายละเอียดทั้งนี้ เพื่อประสงค์จะให้ผู้สอนสามารถกำหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ ความสนใจของเด็กอาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้โดยคำนึงถึงประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ผู้สอนสามารถนำสาระที่ควรเรียนรู้มาบูรณาการ จัดประสบการณ์ต่างๆให้ง่ายต่อการ เรียนรู้  ทั้งนี้มิได้ประสงค์ให้เด็กท่องจำเนื้อหา  แต่ต้องการให้เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนำสาระการเรียนรู้นั้นๆมาจัดประสบการณ์ให้เด็กเพื่อให้บรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ สาระที่ควรเรียนรู้ยังใช้เป็นแนวทางช่วยผู้สอนกำหนดรายละเอียดและความยากง่ายของเนื้อหาให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก 

       สาระที่ควรเรียนรู้ประกอบด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ธรรมชาติรอบตัว และสิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก  ดังนี้


1) เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก  เด็กควรรู้จักชื่อ นามสกุล รูปร่าง หน้าตาของตน รู้จักอวัยวะต่างๆ และวิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาด  ปลอดภัย  มีสุขอนามัยที่ดี เรียนรู้ที่จะเล่นและทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองคนเดียวหรือกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และแสดงมารยาทที่ดี  ทั้งนี้ เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเองแล้ว  เด็กควรจะเกิดแนวคิดดังนี้
  • ฉันมีชื่อตั้งแต่เกิด ฉันมีเสียง รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนใคร ฉันภูมิใจที่เป็นตัวฉันเอง เป็นคนไทยที่ดี มีมารยาท มีวินัย รู้จักแบ่งปัน ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง  เช่น  แต่งตัว แปรงฟันรับประทานอาหาร ฯลฯ
  • ฉันมีอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา หู จมูก ปาก ขา มือ ผม นิ้วมือ นิ้วเท้า ฯลฯ และ ฉันรู้จักวิธีรักษาร่างกายให้สะอาด ปลอดภัย มีสุขภาพดี
  • ฉันต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์  ออกกำลังกาย และพักผ่อน เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต
  • ฉันเรียนรู้ข้อตกลงต่าง ๆ  รู้จักระมัดระวังรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นเมื่อทำงาน เล่นคนเดียว และเล่นกับผู้อื่น
  • ฉันอาจรู้สึกดีใจ เสียใจ โกรธ เหนื่อย หรืออื่น ๆ แต่ฉันเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกในทางที่ดี และเมื่อฉันแสดงความคิดเห็น หรือทำสิ่งต่าง ๆด้วยความคิดของตนเอง  แสดงว่าฉันมีความคิดสร้างสรรค์ ความคิดของฉันเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนอื่นก็มีความคิดที่ดีเหมือนฉันเช่นกัน
2) เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก  เด็กควรได้มีโอกาสรู้จักและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน รวมทั้งบุคคลต่างๆที่เด็กต้องเกี่ยวข้อง  หรือมีโอกาสใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนรู้แล้วเด็กควรเกิดแนวคิด ดังนี้
  • ทุกคนในครอบครัวของฉันเป็นบุคคลสำคัญ ต้องการที่อยู่อาศัย  อาหาร  เสื้อผ้า  และยารักษาโรค  รวมทั้งต้องการความรัก  ความเอื้ออาทร  ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน  ช่วยกันทำงานและปฏิบัติตามข้อตกลงภายในครอบครัว  ฉันต้องเคารพ เชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัว  ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกาลเทศะ  ครอบครัวของฉันมีวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันเกิดของบุคคลในครอบครัว วันทำบุญบ้าน ฯลฯ ฉันภูมิใจในครอบครัวของฉัน 
  • สถานศึกษาของฉันมีชื่อ  เป็นสถานที่ที่เด็กๆมาทำกิจกรรมร่วมกันและทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย สถานศึกษาของฉันมีคนอยู่ร่วมกันหลายคน ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบ ปฏิบัติตามกฏระเบียบ ช่วยกันรักษาความสะอาดและทรัพย์สมบัติของสถานศึกษา  ส่วนครูรักฉันและเอาใจใส่ดูแลเด็กทุกคน  เวลาทำกิจกรรมฉันและเพื่อนจะช่วยกันคิด  ช่วยกันทำ  รับฟังความคิดเห็น  และรับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน
  • ท้องถิ่นของฉันมีสถานที่ บุคคล แหล่งวิทยากร แหล่งเรียนรู้ต่างๆที่สำคัญ คนในท้องถิ่นที่ฉันอาศัยอยู่มีอาชีพที่หลากหลาย เช่น ครู แพทย์ ทหาร ตำรวจ ชาวนา  ชาวสวน พ่อค้า แม่ค้า ฯลฯ ท้องถิ่นของฉันมีวันสำคัญของตนเอง ซึ่งจะมีการปฏิบัติกิจกรรมที่แตกต่างกันไป
  • ฉันเป็นคนไทย มีวันสำคัญของชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์  มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่าง  ฉันและเพื่อนนับถือศาสนา หรือมีความเชื่อที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันได้  ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ฉันภูมิใจที่ฉันเป็นคนไทย
3) ธรรมชาติรอบตัวเด็ก ควรจะได้รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้ดอกไม้สัตว์รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ เช่น ฤดูกาล กลางวัน กลางคืน  ฯลฯ  แนวคิดที่ควรให้เกิดหลังจากเด็กเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว  มีดังนี้
  • ธรรมชาติรอบตัวฉันมีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องการอากาศ แสงแดด น้ำและอาหารเพื่อเจริญเติบโต สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวให้เข้ากับลักษณะอากาศ ฤดูกาล และยังต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน สำหรับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น น้ำ หิน ดิน ทราย ฯลฯ มีรูปร่าง สี ประโยชน์ และโทษต่างกัน
  • ลักษณะอากาศรอบตัวแต่ละวันอาจเหมือนหรือแตกต่างกันได้ บางครั้งฉันทายลักษณะอากาศได้จากสิ่งต่างๆ รอบตัว  เช่น เมฆ ท้องฟ้า ลม ฯลฯ  ในเวลากลางวันเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตก คนส่วนใหญ่จะตื่นและทำงาน ส่วนฉันไปโรงเรียนหรือเล่น เวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกจนดวงอาทิตย์ขึ้น ฉันและคนส่วนใหญ่จะนอนพักผ่อนตอนกลางคืน
  • สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติรอบตัวฉัน เช่น ต้นไม้ สัตว์ น้ำ ดิน หิน ทราย อากาศ ฯลฯ  เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตต้องได้รับการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นรอบๆตัวฉัน เช่น บ้านอยู่อาศัย ถนนหนทาง สวนสาธารณะ สถานที่ต่าง ๆ ฯลฯ  เป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทุกคนรวมทั้งฉันช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรักษาสาธารณสมบัติโดยไม่ทำลายและบำรุงรักษาให้ดีขึ้นได้
4) สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก  เด็กควรจะได้รู้จักสิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะและการสื่อสารต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็ก  ทั้งนี้เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนรู้แล้วเด็กควรเกิดแนวคิด ดังนี้
  • สิ่งต่างๆรอบตัวฉันส่วนใหญ่มีสี ยกเว้นกระจกใส พลาสติกใส น้ำบริสุทธิ์  อากาศบริสุทธิ์  ฉันเห็นสีต่างๆด้วยตา  แสงสว่างช่วยให้ฉันมองเห็นสี  สีมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่ฉันสามารถเห็น ตามดอกไม้ เสื้อผ้า อาหาร รถยนต์ และอื่น ๆ สีที่ฉันเห็นมีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น แดง เหลือง น้ำเงิน ฯลฯ  สีแต่ละสีทำให้เกิดความรู้สึกต่างกัน สีบางสีสามารถใช้เป็นสัญญาณ หรือสัญลักษณ์สื่อสารกันได้
  • สิ่งต่าง ๆ รอบตัวฉันมีชื่อ ลักษณะต่าง ๆ กัน สามารถแบ่งตามประเภท ชนิด ขนาด สี รูปร่าง พื้นผิว วัสดุ รูปเรขาคณิต ฯลฯ
  • การนับสิ่งต่าง ๆ ทำให้ฉันรู้จำนวนสิ่งของ และจำนวนนับนั้นเพิ่มหรือลดได้  ฉันเปรียบเทียบสิ่งของต่าง ๆ ตามขนาด จำนวน น้ำหนัก และจัดเรียงลำดับสิ่งของต่าง ๆ ตามขนาด ตำแหน่ง ลักษณะที่ตั้งได้
  • คนเราใช้ตัวเลขในชีวิตประจำวัน เช่น เงิน โทรศัพท์ บ้านเลขที่ ฯลฯ  ฉันรวบรวมข้อมูลง่าย ๆ นำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้โดยนำเสนอด้วยรูปภาพ แผนภูมิ  แผนผัง  แผนที่  ฯลฯ
  • สิ่งที่ช่วยฉันในการชั่ง ตวง วัด มีหลายอย่าง เช่น เครื่องชั่ง ไม้บรรทัด สายวัด ถ้วยตวง ช้อนตวง เชือก วัสดุ สิ่งของอื่น ๆ บางอย่างฉันอาจใช้การคาดคะเนหรือกะประมาณ
  • เครื่องมือเครื่องใช้มีหลายชนิดและหลายประเภท เช่น เครื่องใช้ในการทำสวน การก่อสร้าง เครื่องใช้ภายในบ้าน ฯลฯ คนเราใช้เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน  แต่ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังในเวลาใช้เพราะอาจเกิดอันตรายและเกิดความเสียหายได้ถ้าใช้ผิดวิธีหรือใช้ผิดประเภท  เมื่อใช้แล้วควรทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
  • ฉันเดินทางจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้ด้วยการเดินหรือใช้ยานพาหนะ พาหนะบางอย่างที่ฉันเห็นเคลื่อนที่ได้โดยการใช้เครื่องยนต์ ลม ไฟฟ้า หรือคนเป็นผู้ทำให้เคลื่อนที่ คนเราเดินทางหรือขนส่งได้ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ พาหนะที่ใช้เดินทาง เช่น รถยนต์ รถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ ฯลฯ  ผู้ขับขี่จะต้องได้รับใบอนุญาตขับขี่และทำตามกฏจราจรเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และฉันต้องเดินบนทางเท้า ข้ามถนนตรงทางม้าลาย สะพานลอย หรือตรงที่มีสัญญาณไฟ เพื่อความปลอดภัยและต้องระมัดระวังเวลาข้าม
  • ฉันติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆได้หลายวิธี เช่น โดยการไปมาหาสู่  โทรศัพท์ โทรเลข จดหมาย จดหมายอิเลคทรอนิคส์ ฯลฯ  และฉันทราบข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัวด้วยการสนทนา ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ และอ่านหนังสือ หนังสือเป็นสื่อในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกไปยังผู้อ่าน ถ้าฉันชอบอ่านหนังสือ ฉันก็จะมีความรู้ ความคิดมากขึ้น ฉันใช้ภาษาทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อการสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน
ที่มา : https://sites.google.com/site/suwimonchild/news-1/gg

ประสบการณ์สำคัญ

ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย
  1. การทรงตัวและการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมัดใหญ่
  2. การประสามสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมัดเล็ก
  3. การรักษาสุขภาพ
  4. การรักษาความปลอดภัย
ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  1. ดนตรี
  2. สุนทรียภาพ
  3. การเล่น
  4. คุณธรรมจริยธรรม
ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
  1. การเรียนรู้ทางสังคม
  2. การปฎิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง
  3. การเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น
  4. การวางแผน ตัดสินใจเลือกและลงมือปฎิบัติ
  5. การมีโอกาสได้รับความรู้สึก ความสนใจ และความต้องการของตนเองและผู้อื่น
  6. การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพควาคิดเห็นของผู้อื่น
  7. การแก้ปัญหาในการเล่น
  8. การปฎิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อาศัยอยู่และความเป็นไทย
ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
  1. การคิด
  2. การใช้ภาษา
  3. การสังเกตุ การจำแนก และการเปรียบเทียบ
  4. จำนวน
  5. มิติสัมพันธ์ (พื้นที่/ระยะ)
  6. เวลา
กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม :แนวทางในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการในระดับปฐมวัยที่สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมอง
               แนวทางการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดให้จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการทั้งทักษะและสาระการเรียนรู้ คำว่า "บูรณาการ" จึงเป็นคำที่คุ้นเคยสำหรับครู แต่อาจเกิดความเข้าใจที่สับสนว่าการบูรณาการเป็นการนำองค์ความรู้ต่างๆ มากองรวมกัน โดยทึกทักเหมารวมเอาไว้ด้วยกันอย่างไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ และอ้างว่าให้เด็กทำกิจกรรม ทั้งๆ ที่ครูก็ไม่ชัดเจนว่าผสมผสานอะไรไว้ด้วยกัน การบูรณาการถือว่าเป็นแนวทางหนึ่งของการสอน รวมทั้งเป็นปรัชญาในการสอนที่นำเนื้อหาความรู้จากหลายวิชามาสัมพันธ์ที่จุดเดียวกัน (Focus) หรือหัวเรื่อง (Theme) เดียวกัน (วลัย พานิช, 2546) ทั้งนี้ วรนาท รักสกุลไทย (2548) ได้สรุปความหมายของการจัดประสบการณ์แบบ บูรณาการไว้ว่าเป็นการจัดประสบการณ์ที่นำความรู้ ความคิดรวบยอด ทักษะ และประสบการณ์สำคัญทั้งมวลที่ผู้เรียนจะได้รับในสาระการเรียนรู้ต่างๆ มาเชื่อมโยงผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ซึ่งเป็นการขจัดความซ้ำซ้อน ความไม่สัมพันธ์ และความไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับปฐมวัยศึกษา ซึ่งเน้นการพัฒนาโดยองค์รวม
               เมื่อพิจารณาความหมายของการบูรณาการ จะเห็นได้ว่าความรู้ ความคิดและประสบการณ์สำคัญต่างๆ นั้นต่างมีความสัมพันธ์กัน และหน่วยย่อยที่สัมพันธ์กันเหล่านี้เกิดการผสมผสานหลอมรวมจนเกิดเอกลักษณ์ใหม่ที่มีความเป็นหนึ่งเดียว
                แนวทางหนึ่งในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
           1. กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นกับสื่อและเครื่องเล่นอย่างอิสระตามมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือศูนย์การเรียนที่จัดไว้ โดยให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็กทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ลักษณะของการเล่นของเด็กมีหลายลักษณะ เช่น การเล่นบทบาทสมมติและเล่นเลียนแบบ ในมุมบ้าน มุมหมอ มุมร้านค้า มุมวัด มุมเสริมสวย ฯลฯ การอ่านหรือดูภาพในมุมหนังสือ การเล่นสร้างในมุมบล็อก การสังเกตและทดลองในมุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติ การเล่นฝึกทักษะต่างๆ ในมุมเครื่องเล่นสัมผัสหรือมุมของเล่นหรือมุมเกมการศึกษา  เป็นต้น
                  การจัดกิจกรรมเสรี หากครูจัดมุมเล่นโดยจัดวางวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับวัย ไม่ท้าทาย หรือไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยย่อมทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ เพราะสมองจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีสิ่งจูงใจที่ชักนำให้สมองสนใจผลิตความรู้ สมองจะมีกระบวนการเลือกคัดกรองเฉพาะสิ่งที่น่าสนใจเท่านั้นเข้าสู่การรับรู้ของสมอง ทั้งนี้ การจัดมุมเล่นที่ดีที่สามารถส่งเสริมจึงควรจัดสื่อที่ตรงกับความสนใจของเด็ก เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ จัดอุปกรณ์ให้เพียงพอกับเด็ก และจัดวางให้เด็กหยิบใช้และเก็บเองได้ จัดให้น่าสนใจ และดึงดูดให้เด็กเข้าไปเล่น โดยมีการเปลี่ยนแปลงสื่อที่จัดไว้อย่างสม่ำเสมอตามหัวข้อที่เด็กสนใจและกำลังเรียนรู้ตามหลักสูตรเพื่อกระตุ้นให้เด็กต้องการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูอาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่นด้วยก็ได้ สิ่งสำคัญคือต้องจัดเวลาให้เด็กมีโอกาสได้เล่นหรือจัดกระทำกับสื่อต่างๆ อย่างเพียงพอ               
           2. กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการโดยใช้ศิลปะ เช่น การเขียนภาพ การปั้น การฉีกปะ ตัดปะ การพิมพ์ภาพ การร้อย การประดิษฐ์ หรือวิธีการอื่นๆ ที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์ ได้รับรู้เกี่ยวกับความงาม และได้แสดงออกทางความรู้สึก และความสามารถของตนเอง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ควรจัดให้เด็กทำทุกวัน โดยอาจจัดวันละ 3-5 กิจกรรม ให้เด็กเลือกทำอย่างน้อย 1-2 กิจกรรมตามความสนใจ
                  การจะพัฒนาด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ให้เด็กต้องเข้าใจว่า ศิลปะคือกระบวนการที่สมองถอดความคิดออกมาเป็นภาพและชิ้นงานต่างๆกระบวนการพัฒนาศิลปะและการสร้างสรรค์ของเด็กจึงเน้นให้เด็กคิดและลงมือทำออกมาเมื่อเด็กทำงานศิลปะเด็กจะเกิดการเชื่อมโยงในสมอง คิดจินตนาการ และผลโดยตรงที่เด็กได้รับ คือ ความรู้สึกพอใจ มีความสุข และได้สัมผัสสุนทรียะของโลกตั้งแต่วัยเยาว์ การแสดงออกทางศิลปะจึงเปรียบเสมือนการสร้างจินตนาการเป็นรูปร่างภายนอกแล้วป้อนกลับเข้าสู่สมอง เป็นการทำให้สมองได้จัดการกับจินตนาการต่างๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งทำ ยิ่งจัดระบบความคิดได้ดีขึ้น ในการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาสมอง ครูจึงควรให้เด็กมีเวลาเต็มที่ในการทำงานศิลปะ ให้เด็กมีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส มีโอกาสทดลองใช้วัสดุ และเครื่องมือที่หลากหลาย ได้พูดคุยเกี่ยวกับงานของตนเองหรือให้เด็กได้จัดแสดงและนำเสนอผลงาน ศิลปะของเด็กไม่ควรเน้นการลอกเลียนแบบ หรือการทำให้เหมือนของจริง เนื่องจากสายตาและจินตนาการของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้มุ่งไปสู่ความถูกต้องของสัดส่วน แสง หรือเงา
            3. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ หรืออุปกรณ์อื่นๆมาประกอบการเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เด็กวัยนี้ร่างกายกำลังอยู่ในระหว่างพัฒนา การใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายยังไม่ผสมผสานหรือประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะช่วยให้เด็กเรียนรู้จังหวะและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้
                สมองส่วนที่รับผิดชอบหลักเกี่ยวกับการจัดสมดุลของร่างกาย คือ สมองเล็กหรือซีรีเบลลั่ม (Cerebellum) การกระตุ้นสมรรถนะของสมองส่วนนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในด้านการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมๆ กัน ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบความสัมพันธ์ของประสาทสัมผัส เด็กต้องพัฒนาความสามารถในการใช้ตา มือ เท้า และประสาทรับความรู้สึกต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กเป็นการเตรียมสมรรถนะของร่างกายทุกส่วนเพื่อใช้ประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่ และพร้อมกันนั้นการเคลื่อนไหวร่างกายก็พัฒนาความสามารถของสมองอันเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ไปด้วย
            4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่จัดมุ่งฝึกให้เด็กได้มีโอกาสฟัง พูด สังเกต คิดแก้ปัญหา ใช้เหตุผล และฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีต่างๆ เช่น สนทนา อภิปราย เล่านิทาน สาธิต ทดลอง ศึกษานอกสถานที่ เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง เล่นเกม ท่องคำคล้องจอง ประกอบอาหาร เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็กฯลฯ
                 กระบวนการให้สมองเรียนรู้ที่จะให้ความหมายสิ่งที่เห็น สิ่งที่เผชิญ ตีความ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ที่รับรู้มา เป็นการพัฒนากระบวนการคิดของเด็ก ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากการรับรู้ของสมองจำนวนมาก ถ้าไม่มีข้อมูลในความทรงจำ ก็ไม่สามารถคิดอะไรออกมาได้ ดังนั้น กระบวนการพัฒนาการคิดของของเด็กจึงต้องมุ่งเน้นให้เด็กได้มีประสบการณ์ที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า สิ่งที่ก่อรูปในการคิดของเด็กเริ่มต้นที่การจับต้อง สัมผัส และมีประสบการณ์โดยตรง สมองรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วก่อรูปเป็นวงจรแห่งการคิดขึ้นมาในสมอง ประสบการณ์ของเด็กผ่านการสัมผัส การชิม การดมกลิ่น การได้ยิน และการเห็น จึงเป็นพื้นฐานของการสร้างความหมายให้แก่สิ่งต่างๆ ครูจึงควรออกแบบกิจกรรมเสริมประสบการณ์ให้เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำซึ่งจะทำให้เด็กมีโอกาสใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า รวมทั้งจัดให้เด็กมีประสบการณ์ในสถานการณ์จำลองทุกอย่างที่เป็นไปได้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ เด็กจะได้เคยชินกับการใช้ความคิดและคิดเป็นในที่สุด
          5. กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อออกกำลัง เคลื่อนไหวร่างกายและแสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก กิจกรรมกลางแจ้งที่ควรจัดให้เด็กได้เล่น เช่น การเล่นเครื่องเล่นสนามที่เด็กได้ปีนป่าย โยกหรือไกว หมุน โหน เดินทรงตัว หรือ เล่นเครื่องเล่นล้อเลื่อน การเล่นทราย การเล่นน้ำ การเล่นสมมติในบ้านจำลอง การเล่นในมุมช่างไม้ การเล่นกับอุปกรณ์กีฬา การเล่นเกมการละเล่นฯลฯ
                การพัฒนาด้านการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นการพัฒนาโครงสร้างทั้งระบบของร่างกายที่ใช้ในการควบคุมสั่งการตัวเอง และการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม กระบวนการพัฒนาร่างกายและการเคลื่อนไหวของเด็กจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการเหล่านี้ต้องเน้นให้เด็กได้ใช้งานร่างกายให้ครบถ้วน และพัฒนาจนมีสมรรถนะดีเต็มตามศักยภาพของเด็ก นอกจากนี้การที่เด็กได้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการหมุนตัว กระโดด คลาน กลิ้ง วิ่ง ไต่ ฯลฯ จะช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้ระยะ มิติ มีการพัฒนาสมองให้สมดุลเป็นปกติ สิ่งที่เด็กเล่น เช่น การควบคุมท่าทางการเดิน การวิ่งแข่ง การเล่นกระบะทราย การเดินบนกระดานแผ่นเดียว ล้วนเป็นการทำซ้ำๆดัดแปลงท่าทางที่ไม่สมบูรณ์เพื่อสร้างสมองให้พร้อมสำหรับการใช้งานในวัยถัดไป
          6. กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มก็ได้ ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผล และเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่/ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย เช่น เกมจับคู่ เกมแยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโน ลอตโต ภาพตัดต่อฯลฯ
                การให้เด็กเล่นเกมการศึกษาเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาสมองด้านการคิด เมื่อเซลส์สมองถูกกระตุ้นด้วยสัญญาณต่างๆ เกิดเป็นข้อมูลจำนวนมาก การคิดจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเหล่านั้นซึ่งจะกลายเป็นข้อมูลใหม่อีกชิ้นหนึ่งซึ่งซับซ้อนขึ้น การที่เด็กเล่นเกมการศึกษาจึงเป็นการกระตุ้นให้สมองได้จัดความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มีอยู่เดิม ทำให้เกิดความสัมพันธ์ของข้อมูลแบบใหม่ เมื่อเกิดซ้ำๆ กัน ก็จะเกิดความคงตัวในวงจรร่างแหของเซลส์สมองนั่นเอง

        จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม เป็นกิจกรรมที่ครอบคลุม การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ พัฒนากล้ามเนื้อเล็ก พัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม พัฒนาสังคมนิสัย พัฒนาการคิด พัฒนาภาษา และส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก    เป็นการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการที่สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย และหลักการทำงานของสมองอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นแนวทางการจัดประสบการณ์ที่มีมานานมากแล้วก็ตาม หากครูจัดได้ถูกต้อง และครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอย่อมนำไปสู่การทำให้เด็กกระตือรือร้นใฝ่รู้ใฝ่เรียน และเกิดแรงจูงใจในการเรียน เด็กได้รับการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ครบทุกด้าน ช่วยเกิดการพัฒนาแบบองค์รวม ทั้งสาระการเรียนรู้ ทักษะ และประสบการณ์สำคัญ ช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการจำ การคิด และการแก้ปัญหา และช่วยให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ รวมทั้งคุณธรรมและจริยธรรมควบคู่กันไป เด็กจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยความรู้นั้นเป็นความรู้ที่คงทนไม่ลบเลือนไปโดยง่าย