วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561
เทคนิคการสอนแบบ Storyline
storyline เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อนจัดการเรื่องรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้นทางการเดินเรื่อง และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือปฎิบัติ เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม
ลักษณะเด่นของวิธีสอน
1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้
1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด
2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้
4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning)
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration)
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้
6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ
2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์
3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา
4) ปัญหาที่รอการแก้ไข
บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์
บทบาทของครู
1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่
1)กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ
2)เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ
2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น
1)เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน
2)เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้เรียน
3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแท้จริง
4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน
5) เป็นผู้แนะนำ (Director)
6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizor) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้านกายภาพและด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
7)เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่อง เพื่อให้พฤติกรรมคงอยู่ หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน
8)เป็นผู้ประเมิน (Evaluator) ควรมีการประเมินผลเป็นระยะๆ ประเมินกระบวนการ (Process) พฤติกรรมระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน
3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented)
4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary)
5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้
6.เป็นผู้ริเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่น
เต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น
บทบาทของผู้เรียน
1.เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองในทุกเรื่องตามที่ครูกำหนด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
2.ดำเนินการเรียนด้วยตนเอง เพื่อให้การเรียนสนุกสนาน ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และท้าทายอยู่ตลอดเวลา
3.มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งร่างกาย จิตใจและการคิด ในทุกสถานการณ์ที่ครูกำหนดขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง
4.เรียนทั้งในห้องเรียน (Class) และในสถานการณ์จริง (Reality) เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม
5.ตอบคำถามสำคัญ หรือคำถามหลัก (Key Questions) ที่ครูกำหนดจากประสบการณ์ของตนเอง หรือประสบการณ์ในชีวิตจริง
6.มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว ในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น สามารถจำ พิจารณา ทำตามคำแนะนำของครูได้อย่างดี
7.ทำงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ อาจจะทำงานเดี่ยว เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ได้ด้วยความเต็มใจและด้วยเจตคติที่ดีต่อกัน
8.มีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน มีทักษะสังคม รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มอื่นๆ และกับครู
9.เป็นผู้มีความสามารถแก้ปัญหา คิดริเริ่มสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์
10.เป็นผู้สามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง และเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสตอรีไลน์
1.เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนจำได้ถาวร (Retention) ซึ่งการเรียนแบบนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการทบทวนความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
2.ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียน (Participate) ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม เป็นการพัฒนาทั้งตัว
3.ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามประสบการณ์ชีวิตของตน และเป็นประสบการณ์จริงในชีวิตของผู้เรียน
4.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีการเบื่อหน่าย
5.ผู้เรียนจะได้สร้างจินตนาการตามเรื่องที่กำหนด เป็นการเรียนรู้ด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
การเมือง วิถีชีวิต ผสมผสานกันไป อันเป็นสภาพจริงของชีวิต
6.ผู้เรียนจะได้พัฒนาความคิดระดับสูง คิดไตร่ตรอง คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิด แก้ปัญหา คิดริเริ่ม คิดสร้างสรรค์
7.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 2 คน 4 คน 6 คน รวมทั้งเพื่อนทั้งห้องเรียน ขึ้นอยู่กับลักษณะกิจกรรม เป็นการพัฒนาให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์
8.ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวสู่สิ่งไกลตัว เช่น เรียนตัวของเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ชุมชนของเรา ประเทศของเรา และประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามระดับสติปัญญาของผู้เรียน
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นสุข สนุกสนาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ และงานที่นำไปนำเสนอต่อเพื่อนต่อชุมนุม ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
Story Line เป็นเทคนิคการสอนอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคิดค้นและพัฒนาในสกอตแลนด์ โดย สตีพ เบล ( Steve Bell ) และ ซัลลี่ ฮัคเนส ( Sallie Harkness )
องค์ประกอบที่สำคัญของ Story Line
การสร้างเรื่องใน Story Line เป็นการดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่อง ประดุจเส้นเชือก โดยมี คำถามหลักเป็นตัวดำเนินการ องค์ประกอบที่สำคัญในการสอนแบบ Story Line คือ
1. ตัวละคร หมายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ผูกขึ้นมา
2. ฉาก หมายถึง การระบุลักษณะของสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ตามหัวเรื่อง
3. การดำเนินชีวิต หมายถึงการดำเนินชีวิตของตัวละคร ว่า ใครทำอะไรบ้าง
4. เหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น หมายถุงเหตุการที่ดำเนินชีวิตของละคร เช่น
เหตุการณ์อะไรที่เป็นปกติ เหตุการณ์อะไรที่ต้องแก้ไข เหตุการณ์อะไรที่ต้องดีใจ หรือแสดงความยินดี
ขั้นตอนการสอนแบบ Story Line
1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ ทักษะและ ประสบการณ์ เพื่อวางแผนในการกำหนดหัวเรื่อง
2. กำหนดหัวเรื่อง ควรเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ สนใจ ช่วยขยายความรู้ของเด็ก
3. เตรียมการผูกเรื่องหรือเส้นทางการดำเนินเรื่อง
4. ตั้งคำถามหลักหรือคำถามสำคัญ ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมโยงการดำเนินเรื่องในแต่ละตอน เป็นตัวกระตุ้นผู้เรียน หรือเปิดประเด็นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
อดีและข้อจำกัดของวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline
1.ข้อดี
การเรียนรู้เช่นนี้ ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเหมือนเป็นหุ้นส่วนกัน ครูวางโครงเรื่อง ผู้เรียนลงรายละเอียดที่มาจากประสบการณ์ชีวิต แล้วสร้างการเรียนรู้ใหม่ที่เชื่อมต่อจากความรู้เดิม มีการแลกเปลี่ยนความคิดและเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน ผู้เรียนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของในผลงานที่สร้าง และกลายเป็นแรงผลักดันให้มีการแก้ปัญหา หากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
ครูยังสามารถบูรณาการทุกวิชาได้ในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อผู้เรียนมีความสุข จุดหมายของการเรียนรู้ก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว
นักเรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ
2.ข้อจำกัด
กิจกรรมนี้อาจเหมาะกับเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต
ค่อนข้างใช้เวลาในการเรียนรู้
การสอนแบบวอลดอร์ฟ
ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ (Waldort) คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf Steiner) วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น คือ ดนตรี จังหวะบทเพลงนิทาน เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟเป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวกเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
** สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
VIDEO
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำแต่จะมีมุมต่างๆให้เด็กได้เรียนรู้ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไปเด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุลโดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)
อ้างอิง
ศาตราจารย์ ดร.อารี สัณหฉวี หนังสือ นวัตกรรมปฐมวัย
ปีที่พิมพ์ 2537 การสอนแบบวอลดอร์ฟจะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ เรียบเรียงข้อมูลจาก : พ็อกเก็ตบุ๊กส์ เลือกอนุบาล เพื่อสร้างอนาคตลูก จาก สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
การสอนแบบภาษาธรรมชาติ
ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน
จอห์น เพียเจต์ Jean piaget
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ การที่เด็กได้เรียนรู้ การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก
สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม
แหล่งที่มา
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2545). รูปแบบการเรียนการสอนปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพมหานคร: บริษัทเอดิสัน เพรสโปรดักส์ จำกัด.
บุบผา เรืองรอง (2550). ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย . นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
วรนาท รักสกุลไทย (2554). นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพมหานคร: Thai Teacher TV . (2554 ) . นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ . กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนเกษมพิทยา.
VIDEO
ทักษะ
ทักษะการฟัง
ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล
ทักษะการสรุปความรู้จากข้อมูล
ทักษะการต่อยอดความรู้
ทักษะการนำเสนอ
ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
การนำมาใช้
สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการนำเสนอของเพื่อนๆ และอาจารย์ไปต่อยอดความรู้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กและรู้เทคนิคการสอนที่ดี
ประเมินตนเอง : มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนดในคาบเรียน
ประเมินเพื่อน : เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น